รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023)
รีวิวหนังแอ๊คชั่นฝรั่งวันนี้ ขอแนะนำ Indiana Jones and the Dial of Destiny ภาคนี้นับว่าเป็นภาพยนตร์ภาคที่ 5 ของIndiana Jones แล้วก็ว่าได้ และนี่ถือเป็นภาคสุดท้ายแล้วของแฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่เขาจะมารับบท อินเดียน่า โจนส์ ว่าด้วยเรื่องราวของ อินเดียน่า โจนส์ ที่ถึงวัยเกษียณจากอาจารย์สอนวิชาโบราณคดี และยังรวมไปถึงการตามล่าหาขุมทรัพย์
จนมาวันหนึ่งเขาได้พบกับสิ่งของโบราณที่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ และนี่เป็นของที่อดีตทหารนาซีตามหาอีกด้วย นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ อินเดียน่า โจนส์ ต้องกลับมาผจญภัยอีกครั้งหนึ่ง พบกับ อินเดียน่า โจนส์ ภาคล่าสุด ได้ทาง doonungvip.com เว็บดูหนังออนไลน์เต็มเรื่อง ความละเอียดคมชัดระดับ 4K
เรื่องย่อหนัง
นักโบราณคดีอย่างอินเดียน่า โจนส์ เคยผจญภัยสู่ปลายฟ้าเพื่อค้นหาขุมทรัพย์และกลายเป็นตำนาน ในปัจจุบัน เขาเป็น ดร. โจนส์ อาจารย์ที่เกษียณอายุแล้วที่ผันตัวกลับมาใช้ชีวิตสงบๆ ที่บ้าน
แต่ก่อนหน้านั้น เขาได้พบกับเฮเลน่า หญิงสาวที่เข้ามาในคลาสของเขา อย่างไม่คาดคิดเธอกลับมาเจอเขาอีกครั้ง และความจริงคือเธอเป็นลูกสาวของชอว์ เพื่อนรักของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งยังชักชวนให้เขากลับสู่โลกของการผจญภัยอีกครั้ง
เมื่อโลกกำลังเฉลิมฉลองกับความสำเร็จของมนุษย์ในการเดินทางขึ้นไปเหยียบพื้นดวงจันทร์อยู่นั้น ลูกสาวบุตรบุญธรรมของอินเดียน่า โจนส์ ก็นำข่าวเรื่องของสมบัติชิ้นล้ำค่าที่มีพลังในการควบคุมเวลาและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ กลับมาให้เขาย้อนลำรึกได้ในวันที่เขาได้มันมาจากพวกนาซีบนรถไฟ ก่อนจะรู้ว่ามีกลุ่มคนที่ตามไล่ล่าสิ่งนี้อยู่เหมือนกัน นักโบราณคดีพร้อมกับหมวกและแซ่คู่ใจ จึงต้องกลับเข้าสู่การผจญภัยอันน่าตื่นเต้น เพื่อไล่ล่าสมบัติล้ำค่านี้อีกครั้ง
ข้อมูลทั่วไป Indiana Jones and the Dial of Destiny
อินเดียน่า โจนส์ เป็นชื่อที่สร้างความจดจำให้กับคอหนังทั่วโลกเมื่อทุกคนนึกถึงแส้ หมวกคาวบอย และการผจญภัยไล่ล่าสมบัติข้ามโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี ซึ่งเราสามารถเรียกได้ว่าเป็นการติดตามเรื่องราวของการตามล่าหาขุมทรัพย์ตลอดรุ่นพ่อไปจนถึงรุ่นลูกที่มีลูกหลานโตกันหมดแล้วแหละ
และมาในปีนี้ปี 2023 คุณปู่แฮริสัน ฟอร์ด ได้ประกาศการกลับมาสวมแจ็กเกตหนังเพื่อมาผจญภัยอีกครั้งในภาคที่ 5 ซึ่งการตั้งตารอที่ตื่นเต้นของผู้ชมที่เป็นแฟนที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรก ด้วยสภาพของปู่แฮริสันและเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ นี่คงเป็นการบอกเป็นในๆ ว่าคงจะเป็นการบอกลาที่แท้จริงของอินเดียน่า โจนส์ที่รับบทโดยเขาแล้วแหละ
ใน Indiana Jones and the Dial of Destiny หรือ อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา เป็นเรื่องราวที่นำเสนอการกลับมาอีกครั้งของนักผจญภัยในตำนานอย่างอินเดียน่า โจนส์ รอบทศวรรษใหม่นี้ ซึ่งคราวนี้เขาอาจจะต้องเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดด้วยคำถามสำคัญ “อยู่เพื่อใคร..?” เป็นการเดินทางที่ราบรื่นและเต็มไปด้วยบรรยากาศเก่าๆ ถึงแม้บรรยากาศจะเริ่มจางๆ ไปแล้วก็ตาม
อินเดียน่า โจนส์ที่ผ่านมา
นี่คือลำดับของภาคภาพยนตร์ Indiana Jones ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน
- Indiana Jones and the Raiders of the Lost Ark (ปี 1981) – ความยาว 1 ชั่วโมง 55 นาที
- Indiana Jones and the Temple of Doom (ปี 1984) – ความยาว 1 ชั่วโมง 58 นาที
- Indiana Jones and the Last Crusade (ปี 1989) – ความยาว 2 ชั่วโมง 7 นาที
- Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (ปี 2008) – ความยาว 2 ชั่วโมง 2 นาที
- และภาคนี้คือภาคที่ 5 ในภาพยนตร์ชุดนี้
วิเคราะห์หนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny
เรื่องหนังจะถูกแบ่งเป็นสองช่วงเวลา ช่วงแรกเกิดขึ้นในปี 1944 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงนี้อินเดียน่า โจนส์ (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) อยู่ในวัยหนุ่ม (ที่ถูกปรับอายุด้วยการใช้งาน De-Aging และเทคโนโลยี Deepfake เพื่อลดอายุและแทรกหน้าของนักแสดงคนอื่นแทน) และต้องเข้ามาช่วยเพื่อนนักโบราณคดี เบซิล ชอว์ (โทบี โจนส์) ที่อยู่ในเทือกเขาแอลป์ ฝรั่งเศส ในช่วงเวลาที่แย่งชิง ทวนแห่งลองกินุส (Lance of Longinus)
ซึ่งเคยมีพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จากกองทัพนาซี แต่ในระหว่างเหตุการณ์เหล่านี้ ทั้งอินเดียน่าและเบซิลค้นพบว่า มีวัตถุโบราณที่มีความสำคัญมากกว่า นั้นก็คือ กลไกแอนติไคเธอรา ที่ถูกสร้างขึ้นโดย อาร์คีมีดีส ซึ่งถูกครอบครองโดย เยอร์เกน วอลเลอร์ (แมดส์ มิคเคลเซน) นักโบราณคดีของกองทัพนาซี เนื่องจากเชื่อว่ากลไกนี้สามารถคำนวณหารอยแยกของเวลา และนำผู้ครอบครองกลับสู่อดีตได้
อีก 25 ปีผ่านไป อินเดียน่ากลายเป็นอาจารย์ด้านโบราณคดีที่ได้วางมือจากการผจญภัยไปแล้ว และเขาก็อยู่ในช่วงของคนวัยชราที่พยายามทำความรู้จักกับชีวิตหลังเกษียณ นอกจากนี้ยังต้องพบกับความเศร้าโศกเพราะเสียลูกชาย มัตต์ วิลเลียม (ที่ปรากฏในภาค 3) ในสงคราม
ในสภาพแวดล้อมที่สหรัฐอเมริกากำลังพยายามส่งจรวดขึ้นสู่ดวงจันทร์ หนึ่งวัน อินเดียน่าพบกับเฮเลนา ชอว์ (ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์) ลูกสาวของเบซิล ที่เขาได้รับเป็นพ่อทูนหัวตั้งแต่น้องเบซิลพึ่งเกิด เฮเลนาได้ถามเกี่ยวกับกลไกนี้ เธอมีความสนใจและต้องการตามล่าสิ่งนี้เช่นกัน จึงชวนให้อินเดียน่าออกเดินทางผจญภัยเพื่อหาคำตอบในปริศนาเกี่ยวกับกลไกนี้ ร่วมกับพบกับเท็ดดี คูมาร์ (อีธาน อีสิดอร์) เด็กชายคนสนิทของเฮเลนาที่เข้าติดตามมาแบบบังเอิญ หยุดยั่งการกลับมาของเยอร์เกนเพื่อครองกลไกนี้ย้อนเวลาไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในอดีตของนาซี
เมื่อถึงภาคนี้หลังจากผ่านไปเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว ก็เกิดมีความน่ากังวลอยู่ในหลายๆ ด้าน จากภาคก่อนหน้าที่ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก ความใหม่ของเรื่องราว การเปลี่ยนแปลงผู้กำกับ และความยากลำบากในกำกับหนังแนวบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ และในภาคนี้ใช้งบประมาณสร้างมากถึง 295 ล้านเหรียญ ซึ่งมากที่สุดในแฟรนไชส์และอยู่ในอันดับ 11 ของหนังที่ใช้งบสร้างสูงสุดในประวัติศาสตร์
และอีกจุดที่ท้าทายก็คือความสามารถของลุงฟอร์ดที่เป็นหน้าตาหลักในแฟรนไชส์นี้ ที่ต้องพิสูจน์ว่ายังมีกำลังความสามารถในการแสดงบทบาทแอ็กชันผจญภัยต่อไป โดยที่ภาคก่อนหน้าก็เริ่มเห็นมีอาการเหนื่อยอยู่เบาๆ จะว่าเป็นสิ่งที่กังวลหรือว่าเป็นจุดเด่นของภาคนี้เลยก็ได้ จากการพยายามสร้างเรื่องราวใหม่ๆ และเพิ่มสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในแฟรนไชส์ ในทางเรื่องงานสร้าง ท่ามกลางการวางแผนฟอร์มยักษ์เพิ่มขึ้น และอลังการมากขึ้น
รวมถึงการใช้งานเทคโนโลยีวิชวลเอฟเฟกต์ที่หนักหน่วงกว่าที่เคยทำมา การเพิ่มฉากแอ็กชันที่ยิ่งใหญ่และเร้าใจ ซึ่งเป็นจุดเด่นของภาคนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในฉากแนวไล่ล่าที่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ สมจริง และเพิ่มความสนุกสนานด้วยมุกตลก เบื้องหลังของหนังจะมีฉากที่แสดงปู่เล่นแอ็กชันเอง แม้ว่านั่นจะเป็นจุดไฮไลท์ แต่บทบาทของปู่ไม่ถูกกดดันให้ลากสังขารแอ็กชันตลอดเวลา เนื่องจากวิธีการเล่าเรื่องแบ่งออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ ทำให้ปู่ฟอร์ดกลายเป็นอาจารย์วัยเกษียณสุดเชย
โดยเน้นดราม่าตามช่วงวัย และแสดงฉากแอ็กชันที่มีความสมดุล ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อคนที่มีอายุถึง 82 ปีก็ยังสามารถแสดงพลังได้เหมือนนักแสดงหนุ่มได้ ทั้งนี้ในช่วงเวลาวัยหนุ่มที่ต้องการฉากแอ็กชันรุนแรง ก็ได้ถูกส่งต่อให้กับสตันท์เล่นแทนไป ทั้งนี้งานวิชวลทั้งในฉากปู่ฟอร์ดที่ยังเป็นหนุ่มและทุกๆ ฉากอื่นๆ ในช่วงแรกอาจจะยังมีความไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง แต่โดยรวมที่ทำออกมาก็ถือว่าใช้ได้ทำออกมาได้อย่างสนุกสนานเกินคาดเลย
มีส่วนที่คิดว่าความแปลกกว่าทุกภาคก็คือความพยายามในการเชื่อมโยงเนื้อเรื่องกับประวัติศาสตร์จริงๆ ซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะในภาคก่อนหน้านี้ เรื่องสมบัติล้ำค่าและเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์ที่มาจากข้อมูลจริงในโลก มักถูกนำเสนอโดยอินเดียน่าเป็นข้อมูลปลีกย่อยที่ไม่ได้ลงรายละเอียดสำคัญ แล้วก็มีแค่ฉากแอคชั่นและการไขปริศนาเฉยๆ แต่ภาคนี้มีการให้เวลาและใส่ใจกับการแกะรอยปริศนาในลักษณะทางสืบสวนที่ร่วมสมัยกว่า และเป็นประวัติศาสตร์ที่ดูคุ้นเคยอยู่แล้ว โดยเฉพาะชื่อของอาร์คีมีดีสและกลไกแอนติไคเธอรา ที่ทั้งสองเป็นเครื่องมือทางดาราศาสตร์ที่มีอยู่จริง ซึ่งทำให้ภาคนี้ดูเป็นกึ่งๆ การทางวิทยาศาสตร์ผสมกับประวัติศาสตร์ โดยมีความเป็นเอกลักษณ์มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับภาคก่อนหน้าที่ดูจะไกลตัวมากกว่า
เมื่อดูจากในช่วงไคลแมกซ์องก์สุดท้ายของภาคนี้ ดูจะแตกต่างจากแนวทางที่เคยเห็นในภาคอื่นๆ ซึ่งเราจะได้เห็นถึงสมบัติล้ำค่าที่ออกฤทธิ์ในช่วงท้ายเสมอ แต่ถ้าเป็นภาคอื่นก็จะเห็นตัวร้ายที่เคยแสดงความอำมหิตและแสดงอำนาจและโดนฤทธิ์ของการใช้สมบัติล้ำค่า ในภาคนี้เลือกนำเสนอทางประวัติศาสตร์เป็นต้นกำเนิดของกลไกนี้แทน นี่เป็นเสมือนการลงโทษตัวร้ายโยงมิติช่วงสุดท้ายให้มีความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าน่าจะดูคล้ายกับเรื่อง โดเรมอน เดอะ มูฟวี่ แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจและแปลกใหม่ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเงื่อนไขในเรื่องแนวคิดถึงความเป็นไปได้ของกลไกโบราณที่จะพาย้อนเวลาจริงๆ ไหม ทำให้บางคนอาจจะไม่พอใจกับบทสรุปในภาคนี้
แม้ว่าข้อความทั้งหมดที่นำเสนอไปสรุปได้ว่าเหมือนเป็นเรื่องของการอัพเดตแบบล่าสุดสำหรับแฟรนไชส์นี้ เพิ่มความร่วมสมัยไป เหมือนเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพล่าสุดให้กับแฟรนไชส์นี้ โดยภาพรวมของภาคนี้ยังขาดความสดใหม่ของเรื่องราวอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามถ้ายังไม่เคยได้ชมภาคอื่นมาก่อน หนังเรื่องนี้ก็ยังสนุกได้ในตัวของมันเอง แต่หากคุณเคยเห็นภาคอื่นมาก่อนแล้ว อาจจะรู้สึกว่าความสดใหม่ของเรื่องราวนั้นไม่มีมากนัก เนื่องจากภาคนี้ใช้สไตล์และองค์ประกอบจากภาคก่อนๆ มาใช้ซึ่งจะดูคล้ายกัน สำหรับการเล่าเรื่องที่มีเด็กมาร่วมผจญภัยด้วยทำให้นึกถึง Indiana Jones and the Temple of Doom (1984) ฉากแอ็กชันที่คล้ายกัน และบทสรุปที่มีแนวคิดเดิมๆ ต่างกันแค่พื้นที่และรูปแบบนิดหน่อย
ถึงแม้ว่าหนังจะพยายามเพิ่มความอลังการในด้านงานสร้างเข้ามา เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าภาคนี้มีปัญหาคือหนังดูเชยจนไม่มีอะไรที่เป็นความสดใหม่จริงๆ ทั้งนี้ เป็นสิ่งที่ผู้กำกับแมนโกลด์เข้าใจดีและเขาเลือกที่จะยึดถือสไตล์และองค์ประกอบที่สปีลเบิร์กที่เคยใช้มา ในฐานะหนังบล็อกบัสเตอร์ที่หวังจะขายความบันเทิงและความคลาสสิกที่ดูได้เรื่อยๆ แม้ว่าบางครั้งอาจเดาง่าย หรือว่าการนำจุดเชื่อมโยงจากภาคเก่าให้ได้ยิ้ม การใส่สกอร์ของ จอห์น วิลเลียมส์ ทำให้นึกถึงอารมณ์เก่าๆ ในขณะที่แฟนใหม่ๆ ก็ยังสามารถเพลิดเพลินกับหนังภาคนี้ได้แบบสนุก และรู้เรื่องได้โดยไม่จำเป็นต้องดูภาคอื่นมาก่อน
ในส่วนของด้านการแสดงของนักแสดงทั้งหลาย สามารถสรุปได้ว่าไม่มีนักแสดงในภาคนี้คนไหนทำให้ผิดหวังเลย ปู่ฟอร์ดยังคงสามารถเล่นบทอินดี้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยที่ไม่ได้ฟิตอะไรมากขนาดนั้น แค่เพียงเขาเลือกที่จะใช้แส้จริงแทน CG และเล่นฉากแอ็กชันด้วยความแข็งแรงก็ทำให้ลืมนึกถึงอายุของเขาได้ นอกจากนี้ นักแสดงคนอื่นๆ ทั้ง ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ ก็มีเสน่ห์ และคาแรคเตอร์ทำให้เธอเป็นตัวละครที่สำคัญและน่าสนใจในภาคนี้ ส่วนอีธาน อีสิดอร์ ก็ฉลาดเฉียบแหลมที่ดูไม่เกินอายุ แม้แต่ลุงแมดส์ มิคเคลเซน ในบทนาซีที่น่ากลัวมาก สมกับตัวร้ายระดับฮอลลีวูดของจริง แม้ว่าตอนท้ายๆ บทของทหารนาซีอาจจะดูป่วยๆ มากกว่าเท่ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าหนังอาจจะไม่ได้ดีกว่าภาคก่อนๆ มีความขัดใจอยู่บางส่วน แต่ โดยรวมภาคนี้ถือว่าไม่แย่เลย มีฉากแอ็กชันที่สุดยอดมาก ผสมความฮานิดหน่อย และมีฉากที่ประทับใจเกิดขึ้น สรุปว่าถ้าคุณไม่เคยเห็นหรือรู้จักหนังชุดนี้มาก่อน คุณจะพบว่าหนังเรื่องนี้มันสนุกด้วยตัวมันเองอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเคยดูทุกภาคมาแล้ว คุณอาจรู้สึกว่าบางส่วนมีกลิ่นอายความเดิมๆ อยู่ แม้ว่าภาคนี้จะพยายามอัปเกรดตัวเองเล็กน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ด้วยความชัดเจนแล้วว่าแฟรนไชส์นี้ได้สิ้นสุดลงและไม่มีอะไรใหม่กว่านี้แล้ว สุดท้ายแล้ว ความสำเร็จของการปิดจบเรื่องในภาคนี้ของปู่ฟอร์ดถือว่าเป็นสิ้นสุดที่สมบูรณ์และน่าประทับใจที่สุด และอาจจะไม่มีอีกต่อมา
เมื่อพิจารณาโอกาสในอนาคตของแฟรนไชส์นี้ ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่า Lucusfilm จะเลือกที่จะพัฒนาภาคต่อไปอย่างไร รวมถึงการเลือกนักแสดงที่จะรับบทบางที จะเลือกใช้ตัวละครอินเดียนา โจนส์แบบไหน หรือมีแผนรีบูตหรือไม่ การตัดสินใจเหล่านี้อาจขึ้นอยู่กับผลตอบรับทางรายได้และวิจารณ์จากภาคนี้ในที่สุด
ถ้าต้องวิเคราะห์แบบในแง่ร้าย ภาคนี้อาจจะไม่ได้อย่างที่หวังเหตุผลเพราะมันดูเชยนี่แหละ หากคิดจะรีบูตใหม่ อาจควรพิจารณาให้หนังแฟรนไชส์หยุดการผลิตอย่างน้อย 10-20 ปี เว้นระยะเวลาให้ผู้คนคิดถึง ก่อนที่จะมีการพิจารณาที่จะสร้างเนื้อหาใหม่อีกครั้ง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีได้
จุดเด่นและจุดสังเกต
หนังนี้มีฉากแอ็กชันที่อลังการมาก ดูสนุกตื่นเต้นสมกับเป็นหนังฟอร์มยักษ์ ผสมมุกเรียกเสียงฮา และมีช็อตเรียกน้ำตา เรื่องราวเกี่ยวกับปู่แฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่ยังคงวาดลวดลายการเป็นอินดี้อย่างมีเสน่ห์ในอายุ 82 แล้วเป็นเรื่องที่ไม่เชื่อไม่ได้ นอกจากนี้มีการผูกเนื้อหาเข้ากับประวัติศาสตร์ที่คนคุ้นหูอีกด้วย เน้นความรู้สึกผ่านการไขปริศนาและการตั้งคำถามที่น่าสนใจ ยังคงสไตล์การเล่าเรื่องผ่าน Easter Egg ต่างๆ เพื่อความสนุกสนานของแฟนโดยเฉพาะ คนที่มีประสบการณ์ดูภาคก่อนๆ น่าจะดูแล้วสนุก
คำสรุปของเรื่องง่าย และบางส่วนอาจจะเดินเรื่องช้าไปหน่อย แต่มีจุดเด่นในการใช้ขนบสไตล์และวิธีการเล่าเรื่องจากภาคก่อน ๆ ที่ทำให้เป็นหนังคลาสสิกและยังคงสามารถสร้างความสนุกสนานให้แฟนๆ นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าภาคนี้จะไม่เสนอความสดใหม่มากนัก แต่ก็ยังสามารถจะสร้างความรู้สึกที่ดีได้ และในที่สุดภาคนี้ก็ตั้งใจในการให้จบแฟรนไชส์ได้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่คนที่ชอบหนังแฟรนไชส์นี้สามารถสนุกได้แบบไม่ผิดหวัง ส่วนคนที่ไม่ดูแฟรนไชส์นี้ก็ยังดูได้ และน่าจะเหมาะสำหรับทั้งครอบครัว ทั้งรุ่นเก๋าและรุ่นใหม่
บทสรุป Indiana Jones and the Dial of Destiny
ดังนั้นในมุมมองทั่วไป Indiana Jones and the Dial of Destiny อาจไม่ได้เป็นภาคที่น่าประทับใจที่สุด เนื้อเรื่องการผจญภัยและบรรยากาศที่ลงตัวอาจยังมีความเพลย์เซฟบ้าง ซึ่งจากการพูดคร่าวๆ ก็อาจจะถูกพูดว่าเป็นหนังอินดี้ที่ไม่ค่อยมีฉากและซีนที่สร้างความตื่นเต้นหรือตราตรึงใจมากนัก มันอาจจะเป็นกลิ่นอายของเรื่องเก่า ๆ ที่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด
ทั้งนี้ในช่วงเวลาที่เรื่องราวกำลังจะจบลงในวาระหนึ่ง แม้กระนั้นความเป็นตำนานของอินดี้ก็ยังคงอยู่แน่นอน และมันอยู่ในช่วงเวลาที่ดีตั้งแต่ภาคที่ 3 จนถึงตอนนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้ดูกัน สามารถรับชมออนไลน์ได้เลย
สุดท้ายทีมงานอยากขอฝากผลงานรีวิวหนัง Heart of Stone (2023) เรื่องราวสายลับสาวที่ต้องต่อสู้เพื่อความลับบางอย่าง ติดตามชมรีวิวของเราได้เลยค่ะ